ลิงค์สนับสนุน

วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Top 5 Spirits

สวัสดีครับผมหลายท่านที่ทำงานโรงแรมเกี่ยวกับเครื่องดื่มก็คงจะพอทราบกันบ้างนะครับ ไอ้เจ้า Cocktails นี่ ส่วนใครที่บอกว่ามันช่างไม่คุ้นเอาเสียเลย ก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ก็เลยขอแปลตรงๆ แบบไม่ต้องพึ่ง dictionary กันเลยก็ได้ครับว่ามันน่าจะแปลได้ว่า เครื่องดื่มผสมที่มีแอลกอฮอล์ ก็เห็นว่ามันเท่และก็ดูเก๋ดีก็เลยเอามาตั้งเป็นชื่อ blog ซะ และเนื้อหาใน blog ของผมก็แน่นอนว่าจะต้องเกี่ยวกับเหล้าแน่นอน กับแกล้มไม่เกี่ยวนะครับ ครับหลักๆ แล้วก็คือเหล้าครับแต่คงจะเป็นเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล์ทั้งหมด และก็ที่สำคัญจะมีสูตร cocktails มาแนะนำทุกๆ สัปดาห์ครับ นักดื่มทั้งหลายอย่าลืมติดตามนะครับ จะได้เมาไปพร้อมๆกันครับ จะว่าไปแล้วเวลาที่ดื่มแล้วก็ขอร้องกันหน่อยนึงนะครับว่าอย่าขับรถเลยครับ เดี๋ยวเหล้าหกใส่น้องชายจะมาหาว่าไม่เตือนไม่ได้นะครับ เหล้าคือคำจำกัดความที่สั้นๆ และได้ใจความสำหรับคนไทย คือว่าอะไรก็ช่างที่ดื่มแล้วทำให้เมานะเรามักจะเรียกไอ้เจ้าสิ่งนั้นว่าเหล้าเสมอ ยกเว้นบางอย่างที่ทำให้เมาได้เหมือนกันแต่เราก็ไม่เรียกว่าเหล้า รู้มั๋ยว่ามันคืออะไร บอกให้ก็ได้มันก็คือมือกะเท้าของเรานี่งัย อ๊ะแนะงงกันใหญ่ละซิ เคยได้ยินหรือเปล่าคำนี้ เมามือเมาทีนน่ะ เอาล่ะเข้าเรื่องวิชาการกันหน่อยนิดนึงพูดถึงเรื่องเหล้าแล้วความจริงเขาก็ได้แบ่งชนิดและจำพวกของมันไว้อย่างเยอะแยะมากมาย แต่ตัวที่ผมจะนำมาเสนอและถ่ายทอดเป็นความรู้กับทุกๆคน ณ ที่นี้ ผมจะเน้นเฉพาะตัวที่เราจำเป็นต้องรู้ หรือมีเห็นอยู่ทั่วไปดีกว่า
Top 5 spirits
คำๆนี้อาจจะไม่คุ้นเคยกันเท่าที่ควรสำหรับคนนอกวงการ"คนชงเหล้า" เพราะว่าถ้าจะพูดถึงเหล้าแล้วมันมีมากมายหลายชนิดครับ ฝรั่งเขาเรียกกันไปตามชื่อของวิธีการทำ ปริมาณแอลกอฮอล์ที่มี สีสัน ความเข้มข้นของปริมาณน้ำตาล รสชาดที่ได้ ชื้อคนทำได้ครั้งแรก มันก็เลยทำให้มีชื่อที่ใช้เรียกไอ้น้ำเมาพวกนี้เป็นร้อยเป็นพันครับผม จึงทำให้พีไทยอย่างเราๆท่านๆเกิดความคิดขึ้นมาว่าแล้วจะไปแยกชื่อแยกประเภทให้มันเสียเวลาทำไม่ และแล้วพี่ไทยค่อนประเทศก็เลยลงความเห็นว่าอะไรก็ช่างไม่ว่าใครจะเป็นคนทำ ทำมาอย่างไร หวานหรือขม แต่ถ้าดื่มแล้วทำให้เมาได้ข้าขอเรียกมันว่า "เหล้า" สั้นๆ และก็ได้ใจความ เอออันนี้ก็จริงนะข้ากระผมก็ขอแสดงความนับถือจากใจจริงครับ เอาละครับกลับมาที่ top 5 spirit ที่ได้พูดค้างเอาไว้ ก็อย่างที่บอกไปแล้วว่าเหล้านะมันมีเป็นร้อยเป็นพันชนิด แต่คุณจะเชื่อมั๋ยครับว่าจริงๆแล้วเรากลับใช้มันแค่ไม่กี่ชนิดเอง ที่หลักๆเลยก็มีอยู่ 5 ชนิดนี่แหละที่ทุกบาร์จะต้องมี และบาร์ทุกคนต้องรู้จัก และคนทุกคนที่เป็นนักดื่มต้องเคยดื่มมาแล้วกันทั้งนั้น มาเริ่มกันที่ตัวแรกเลย
1.Gin คำสั้นๆ แต่เป็นอะไรที่เป็นที่นิยมกันเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคุณผู้หญิง Gin เป็นเหล้าชนิดนึงที่ทำจากผลเบอร์รี่ [Juniper Berry]ซี่งก็ยังมีส่วนผสมของ Grain และ Barley อยู่เหมือนเดิมเพียงแต่ว่าเพิ่มเจ้าเบอร์รี่นี้เข้ามาเป็นส่วนผสมหลัก Gin โดยทั่วไปแล้วจะมีกลิ่นที่หอมละมุนชวนดื่มมากจนคิดว่ามันไม่น่าจะทำให้เราเมาได้เลยแต่ในทางกลับกัน Gin กลับมีความแรงของปริมาณแอลกอฮอล์สูงมากกว่าเหล้า หลายๆชนิดเสียด้วยซ้ำ เพราะว่า Gin ส่วนใหญ่แล้วจะมีประมาณแอลกอฮอล์อยู่ที่ 43%-47% พูดง่ายๆ ก็คือว่าแรงกว่าเหล้าขาวบ้านเราเลยแหละแต่ว่ากระบวนการกลั่นและการหมักส่วนผสมต่างๆที่ได้จากธรรมชาติจริงๆ มันก็เลยกลับทำให้ Gin กลับมีความนุ่มละมุนละไมมากกว่าเหล้าบ้านเราที่มีดีกรีน้อยกว่าเสียด้วยซ้ำไป Gin เป็นที่นิยมกันเป็นอย่างมากในอันดับต้นๆเลยก็ว่าได้ ทั้งดื่มผสมกับ Tonic หรือดื่มแบบ Martini [Gin+Dry Vermooth] และในปัจจุบันนี้ก็มี Cocktails หลากหลายชนิดที่มี Gin เป็นส่วนผสมยกตัวอย่างเครื่องดื่มตัวนึงที่ได้รับความนิยมมาตั้งแต่สมัยไหนแล้วจนกระทั่งปัจจุบันนั่นก็คือ Singapore Sling ซึ่งจนกระทั่งเดี๋ยวนี้ก็ยังเป็นที่นิยมอยู่จนกระทั่งเดี๋ยวนี้ มาดูกันครับว่าเจ้า Singapore Sling นี้มีส่วนผสมอะไรบ้างและมันทำยังงัย
Singapore Sling
Gin                         1     Oz
Cherry Brandy     1/2  Oz
Sweet & Sour        2     Oz
Grenadine              1/4  Oz
Soda                      Float
เริ่มจากเตรียมน้ำแข็งใส่แก้วที่เราต้องการจะใช้เสริฟเครื่องดื่มตัวนี้ จากนั้นนำ Gin กับ Sweet&Sour ใส่กระบอก Shaker แล้วเขย่าให้พอเครื่องดื่มผสมกัน ไม่ต้องเขย่ามากจนเกินไปจะทำให้เกิดฟองเยอะเกินไป รินใส่แก้วจะได้ปริมาณประมาณ 2/3 ของแก้ว แล้วก็เติม Soda จนเกือบเต็มแก้วเหลือพื้นที่ไว้ประมาณ 1.5 ซ.ม. แล้วก็เติม Cherry Brandy และก็ตามด้วย Grenadine แค่นี้เป็นอันเสร็จ อยากให้สวยก็หามะนาวเหลืองหรือว่าลูก Cherry ซักลูกมาใส่ลงไปในแก้วแค่นี้ก็ได้เครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมตลอดการไว้ดื่มเองที่บ้านแล้ว
Sweet & Sour
จะมีขายเป็นขวดสำเร็จตาม Food Land หรือตามห้างที่มีเหล้านอกขายจะมีอยู่แต่ว่าถ้าใครยังไม่มีตรงนี้ก็ลองเอาสูตรนี้ไปทำแก้ขัดก่อนก็ได้ให้ใช้น้ำมะนาวประมาณ 1-1/2 Oz + น้ำเชื่อม 1/2 Oz ก็จะได้รสชาดที่ใกล้เคียงกันและได้ความเป็นธรรมชาติมากกว่า Sweet & Sour เสียอีก ยังงัยก็ลองไปทำดูกันนะครับผม ต้องขอโทษด้วยตอนนี้รูปภาพยังไม่พร้อมแล้วเดี๋ยวพร้อมเมื่อไหร่จะนำมาลงให้อีกทีนะครับผม
มาดูกันนิดนึงครับว่าเหล้าในหมวด Gin นี้รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไรกันบ้างครับ
สามหนุ่มสามมุมหล่อ

Tanqueray จัดว่าเป็น Gin ที่ได้รับความนิยมในอันดับต้นๆเหมือนกันครับ มีอยู่ในแทบจะทุกบาร์ทั่วโลก บาร์ไหนไม่มีน่าจะเป็นเรื่องแปลก รสชาดและความหอมละมุนนั้นจัดว่าอยู่ในเกณท์ใช้ได้ เลยครับ Tanqueray Tonic เป็นเครื่องดื่มที่ฮิตไปทั่วโลกถึงขั้นทำชื่อย่อมาในหมู่นักดื่่มและ Bartender ว่า T&T คือถ้าลูกค้าสั่ง T&T เป็นอันว่ารู้กันว่ามันคือ Tanqueray

Beefeater ตัวนี้ก็เก๋าไม่แพ้ตัวบน เนื่องจากทำตลาดมาก่อน และปัจจุบันก็ยังคงได้รับความนิยมตามบาร์ทั่วไปมีให้เลือกอย่างแน่นอน แต่ว่าถ้าจะเทียบคลาสกันทั้ง 3 ตัว ตัวนี้ดูจะเป็นตัวรั้งท้าย ทั้งในเรื่องของราคาที่ต่ำกว่าเพื่อน จนบางบาร์ก็เอามาทำเป็น House Brand  พูดง่ายๆว่าของถูก คุณภาพมันก็ต้องด้อยลงไปด้วยเป็นเรื่องปรกติ แต่ว่ารสชาดนั้นถือว่ายังอยู่ในเกณท์ที่ใช้ได้ครับ

Bombay Sapphire Gin ตัวนี้ ถ้าเทียบกับ 3 ตัวตรงนี้ก็น่าจะเป็นที่ 1 ในรุ่นนี้ จะด้วยความมีชื่อเสียงจากสื่อและก็ประวัติและกรรมวิธีในการผลิตที่เป็นเอกลักษณ์มาจนถึงทุกวันนี้ และที่สำคัญกลิ่นที่แสนจะหอมหวลเย้ายวลใจเอาเสียเหลือเกิน  Bombay Sapphire เป็น Gin เพียงยี่ห้อเดียวที่มีส่วนผสมของพืชสมุนไพรถึง 10 ชนิด ณ เวลานี้ [ที่รู้มานะ 555]หรือที่เรียกว่า Botanical ส่วนรายละเอียดจะเขียนไว้ในหน้า Bombay Gin ให้เข้าไปดูว่ามันมีอะไรกันนักหนา
ครับผม 3 ตัวนี้ก็ถือว่าเป็น Gin ในกลุ่มแถวหน้าหรือว่ามีกันแทบทุกบาร์ว่างั้นเถอะ

วันพุธที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Bartender

BARTENDER หรือพูดง่ายๆที่เราๆ ท่านๆคุ้นเคยก็คือคนชงเหล้าครับ แต่ว่าการชงเหล้าในที่นี้ไม่เหมือนการชงเหล้ากิน[ดื่ม]กันอย่างที่เราทำกันจนคุ้นเคย ใส่น้ำแข็ง เติมเหล้า เติมโซดา แล้วก็เอานิ้วคนให้เข้ากันดีแล้วก็ใช้ได้ อันนี้ก็ถือว่าเป็นการชงเหล้าครับแต่ว่ามันเป็นขั้นพื้นฐานที่มนุษย์ทุกคนสามารถที่จะทำได้ทันทีที่ถึงเวลา หรือพูดง่ายๆว่ามันอยู่ในสายเลือดของคนไทยไปแล้วมั้งเรื่องเหล้าเนี่ย
ครับผมถ้าจะมาพูดคุยกันเรื่องแค่การชงเหล้าอย่างที่พูดถึงไปนั้น คุณก็คงไม่ต้องมาเสียเวลาอ่านต่อไปหรอกครับ มันเสียเวลา แต่สิ่งที่ผมจะนำมาคุยเชิงถ่ายทอดนี้ เน้นนะครับว่าคุยเชิงถ่ายทอดหรือเล่าสู่กันฟัง เพราะฉนั้นถ้าข้อมูลบางช่วงบางตอนอาจจะไม่เหมาะสมหรือว่าไมถูกต้องก็ต้องแจ้งให้ทราบก่อนนะครับ ผมจะไม่เน้นวิชาการมากจนเกินไปหรอกครับ เอาแค่พอรู้ก็พอ มากเกินไปก็น่าเบื่อ ครับเราก็จะกลับมาคุยกันต่อในเรื่อง mixology หรือbartender นั้นเอง bartender นั้นจะให้พูดไปแล้วน้อยคนนักที่คิดว่าจะเป็นอาชีพที่จะสามารถสร้างตนได้ และก็มีคนหลายคนซะส่วนใหญ่ที่มองอาชีพbartender ว่า เป็นอาชีพของคนกลางคืน และอาชีพไหนก็ช่างที่ทำยามค่ำคืนก็มักจะถูกมองไปในทางไม่ดีซะส่วนใหญ่ นั้นก็คงจะเป็นภาพเก่าๆ ที่อยู่ในจินตมโนภาพของคนหลายๆคน bar หรือสถานบริการที่ขายเหล้านั้นในบ้านเราส่วนใหญ่ก็จะเปิดให้บริการกันในตอนเย็นๆ ซะส่วนใหญ่ ในโรงแรมก็มีบ้างอาจจะเปิดตั้งแต่ 10.00น.หรือเที่ยง แต่ที่ที่ผมทำงาน [เรือสำราญ] นั้น bar ที่โน้นเปิดให้บริการตั้งแต่ 6.00น.ครับผม ถูกแล้วครับผมก็ต้องแหกขี้หูขี้ตาตื่นมาตั้งแต่ตี5ครึ่ง เพื่อมาเปิด bar ให้ทัน ไหนใครบอกว่าอาชีพ bartenderนอนดึกตื่นสายงัย เห็นไหมว่ามันไม่จริงเสมอไป bartender บ้านเรานั้นจะหนักไปในการทำงานหลังบาร์และจะเป็นการทำงานในลักษณะอยู่ในคอก [ด้านในของบาร์] แต่ว่าที่เรือนั้น bartender ก็คือผู้จัดการบาร์ บาร์นั้น ต้องดูแลตั้งแต่ด้านนอก พนักงานเสริฟ ความสะอาด และก็ความพร้อมของบาร์ในการ service พูดง่ายๆว่ามันใช้งานจนคุ้มเลยก็ว่าได้ ในเรือลำนึงโดยส่วนใหญ่จะมี bar อยู่ประมาณ11-17 bars ถูกต้องแล้วครับ แล้วมี bartender อยู่ 32 คน เปิดตั้งแต่ 6.00-เที่ยงคืน 2 bars และที่เหลือก็จะทยอยเปิดกันตั้งแต่ 9.00น. 10.00น. และก็เที่ยง ไปจนถึงเวลาปิด และจะมีอยู่ประมาณ 4 bars ที่ไม่มีกำหนดปิด [บนเรือไม่มีตำรวจครับ เคยเปิดจนสว่างคาตามาแล้วครับพี่น้อง] เขาจะเขียนว่า till late คำว่า late นี้ไม่มีคำจำกัดความครับว่าแค่ไหน ก็คือแขกอยู่ก็ต้องอยู่ อย่างเวลาที่แขกถาม "คุณเปิดถึงเมื่อไหร่" ก็จะตอบแขกคนนั้นทันทีว่า "จนกระทั่งเราปิด" เห็นหรือยังครับว่ามันใช้เราคุ้มแค่ไหน เอาละครับเดี๋ยวเอาไว้วันหน้ามาชงเหล้าดื่มกันซักแก้วกันดีกว่า

วันอังคารที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Welcome to all

สวัสดีครับ และก็ขอกล่าวคำว่ายินดีต้อนรับนักอ่านและก็ขาดื่มทุกๆท่านที่ผ่านเข้ามาทางนี้นะครับผม พื้นที่ตรงนี้จะขอนำเสนอศิลปะการชงเหล้าหรือที่พวกเราๆท่านๆรู้จักกันดีว่าการผสมเครื่องดื่มนั่นเอง cocktails กับสังคมไทยนี่ดูๆไปแล้วยังไม่ค่อยจะเข้ากันซักเท่าไหร่ เพราะว่าจากมุมมองของผมจากภายนอกนั้นผมว่าcocktails ยังไม่เข้าถึงสังคมไทยซักเท่าไหร่ หรือว่าสังคมไทยยังไม่เข้าไปหามันก็ไม่รู้ จะเนื่องด้วยวัฒนธรรมการดื่มที่เรียบง่าย รินใส่แก้วแล้วก็ยกซด แค่นี้ก็ดื่มได้แล้ว หรือว่าถ้าอยากจะดื่มก็แค่เดินไปซื้อเบียร์ก็เปิดดื่มได้แล้ว ไม่เห็นจะต้องมาเตรียมการอะไรให้วุ่นวายเลยถ้าอยากจะเมาครับ ที่เขาว่ามามันก็ถูกครับ เพราะว่ากว่าจะได้ดื่ม cocktails ดีๆ ซักแก้วก็ต้องไปนั่งตามผับหรู หรือไม่ก็ตามโรงแรมดีๆหน่อย จะมาหาซื้อตามข้างทางหรือซุ้มยาดองก็คงไม่มีขาย และหรือถ้าคิดจะซื้อของมาทำดื่มเองยิ่งไปกันใหญ่เลยครับ เพราะว่าแค่ค่าเหล้า 3-4 ขวดนี่ก็เกินพันขึ้นไปแล้วครับ ไหนจะต้องมีน้ำผลไม้ จะต้องมีน้ำเชื่อม ผลไม้สด อุปกรณ์ในการทำ แก้วที่จะใช้ใส่ และสิ่งที่สำคัญที่สุดความรู้และความเข้าใจในตัวของเหล้าแต่ละชนิดที่จะมาใช้ทำ cocktailsฟังดูก็เหมือนง่ายๆ ครับ ก็แค่เทไอ้นี่กับไอ้นี่รวมกันมันก็ดื่มได้แล้ว อันนี้ก็ไม่เทียงครับ ผมว่าทุกคนน่าจะเคยกินผัดกระเพรานะครับ คุณเคยสังเกตุเห็นความแตกต่างไหมว่าทำไมบางวันอร่อย บางวันไม่อร่อย ยิ่งบางทีไปเจอบางร้าน แทบจะไม่ใช่ผัดกระเพราเลย แค่อยากจะบอกว่าทุกๆอย่างมันมีวิธีการของมันครับ 
มาว่ากันต่อเรื่อง cocktails ดีกว่าครับ cocktails นั้นได้ก่อกำเนิดมาแล้วนานแสนนาน จากตำนานเล่าว่ามันมีช่วงของยุคสมัยยุคนึงที่เขามีการคัดค้านกันไม่ให้จำหน่ายสุราและของมึนเมาที่ อเมริกาในช่วงปี 1912-1932 นี่แหละถ้าจำไม่ผิด แต่รู้แน่ว่าเขาห้ามจำหน่ายสุราและของมึนเมานั้นอยู่ประมาณ 20ปีครับ แต่ก็อย่างว่าแหละครับ คนมันเคยดื่มและพ่อค้าก็เคยขาย แต่ว่าจะมารินเหล้าใส่แก้วผสมโซดา ผสมโค้กเหมือนเมื่อก่อนก็ไม่ได้เพราะว่าเดี๋ยวจะโดนจับ ก็เลยมีการลักลอบขายเหล้าไปในกาแฟบ้างชาบ้าง และก็บางทีก็ใส่ในน้ำผลไม้ พอลูกค้าของบาร์ที่ใส่เหล้าลงไปในน้ำส้มได้ดื่มกลับติดใจและบอกว่าอร่อยดีมากน่าจะลองผสมกับอย่างอื่นดูบ้าง ชายผู้นั้นก็เลยเริ่มทำเหล้าผสมกับน้ำผลไม้ชนิดต่างๆ ออกมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้หลายๆ ร้านก็เอาไปทำเลียนแบบ ก็เลยทำให้คนส่วนใหญ่ หันมานิยมดื่มเหล้าผสมกันอย่างกว้างขวางขึ้น และมีบาร์ลักษณะอย่างนี้เปิดกันอย่างแพร่หลาย เขาเรียกบาร์แบบนี้ว่า under ground bar จนกระทั่ง รัฐบาลประกาศเลิกคำสั่งการงดจำหน่ายสุรา ผู้คนก็คงยังนิยมชมชอบที่จะดื่มเหล้าผสมอยู่ดี และต่อมาอีกไม่นานก็มีการพัฒนาทั้งในด้านสีสัน รสชาด และการตกแต่งให้สวยงาม และในเวลาต่อมาไม่นานก็เรียกเหล้าผสมนี้ว่า cocktails
วันนี้คงแนะนำตัวกันคร่าวๆก่อนนะครับยังงัยก็เข้ามาติดตามกันต่อไปนะครับ รับรองว่ามีเรื่องราวความรู้ที่ไม่อิงวิชาการมากจนเกินไปมาบอกกล่าวอีกเยอะและที่สำคัญมีสูตร Cocktails ที่เด็ดๆอีกเป็นร้อยที่จะนำมาเผยแพร่ให้กับเพื่อนๆในวงเหล้าทุกๆคนที่แวะเข้ามาครับผม ยังงัยก็ติดตามกันต่อไปนะครับ