ลิงค์สนับสนุน

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

เรื่องน่ารู้เกี่ยวกับ Martini

สวัสดีครับผม วันนี้้ก็เร่ิมเข้าเทศกาลเข้าพรรษามาได้ซักระยะนึงแล้วนะครับผม ใครที่ยังอยู่ในช่วงงดเหล้าเข้าพรรษาอยู่ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เข้ามาอ่านตรงนี้นะครับ พ้ืนที่ตรงนี้ยังคงนำเสนอเรื่องราวที่น่ารู้เกี่ยวกับ น้ำเมาที่เรียกว่าเหล้าอยู่เหมือนเดิมครับผม ตอนวันเข้าพรรษา งดนำเสนอไปแล้ว วันนี้มาต่อกันเลยดีกว่าครับ
จากบทแรกๆ เลยที่เราคุยกันว่าสำหรับคนไทยแล้ว อะไรที่เป็นน้ำเมา ดื่มเข้าไปแล้วทำให้เมาได้ คนไทยจะเรียกขานเจ้าเครื่องดื่มชนิดนั้นกันว่าเหล้า ไปซะหมดทุกอย่าง แต่ว่าจริงๆ แล้วมันมีชื่อและชนิดของมันตามที่ได้เขียนไว้แล้ว ในบทความ Top 5 Spirits นั่นแค่ 5 ตัว  5 อย่างแค่นั้นเองครับผม น้ำเมานั้นยังมีอีกหลากหลายชนิดที่เรียกต่างชื่อ ต่างที่มากัน แต่ว่่าวันนี้จะขอข้ามมาคุยเรื่องของ Cocktails กันก่อน และนี่ก็อีกเช่นกัน Cocktails นั้น มันก็มีชื่อเรียกเฉพาะกลุ่มของมันด้วยเช่นกัน ว่า Cocktails ชนิดนี้ลักษณะการทำอย่างนี้ รูปร่างหน้าตาอย่างนี้ ส่วนผสมอย่างนี้ เขาเรียกและหรือจัดให้มันอยู่ในกลุ่มไหน ชื่ออะไร ประมาณนั้น เอาแบบพอรู้เรียกถูกก็พอครับผม หรือว่ารู้ไว้ใช่ว่าก็ไม่เห็นจะเสียหายอะไรเลยนี่  ก่อนจะข้ามไปคุยกันเรื่อรายละเอียดของ Cocktails วันนี้ มีเรื่องน่ารู้และน่าสับสนเกี่ยวกับ Cocktails ในหมวด Martini มาเล่าให้ฟังกันก่อน
Martini เองนั้นอย่างที่ทราบดีแล้วว่าเมื่อก่อนนั้น และหรือแม้แต่ในปัจจุบัน มันคือการเอาเหล้าหลักมาผสมกับ Dry Vermouth แค่นั้นเอง เช่น Gin Martini และ Vodka Martini
Gin Martini ก็จะมีแค่ Gin + Dry Vermouth และก็เสริฟใน Martini Glass พร้อม Olive หรือ Twist ให้ลูกค้าเลือก แต่ส่วนใหญ่ลูกค้าจะเลือกและชอบด่ืมมันกับ Olive เพราะว่ามันเปรี้ยวๆ เค็มๆ มันก็เหมือนกับการที่บ้านเราชอบดื่มเหล้าขาวกับมะขามเปียก หรือว่ามะม่วงเปรี้ยวจิ้มเกลืออะไรประมาณนั้นแหละมั้ง ??
Vodka Martin ก็จะมีแค่ Vodka + Dry Vermouth และก็เสริฟใน Martini Glass พร้อม Olive หรือ Twist ให้เลือก
2 ตัวนี้คือ Classic Martini ในยุคแรกเร่ิมของการดื่ม Martini แต่ว่าในปัจจุบันนั้น Martini เองได้ถูกปรุ่งแต่ง เพิ่มเติม ทั้งรสชาด และสีสันไปเสียจน เรียกว่านับไม่ถ้วนแล้ว เฉพาะบาร์ที่ผู้เขียน "คนชงเหล้า" ทำอยู่นี้ก็เกินร้อยแล้วครับผม เอาเป็นว่ามันเยอะมาก แต่ว่าMartini ตัวใหม่ๆ ที่มีการเพิ่มเติมแต่งรสชาดและสีสันนั้น มักจะไม่ค่อยสับสนเสียเท่าไหร่ เพราะว่าเวลาเราสั่งน่ะ มันจะออกมาตามสูตรของแต่ละที่ที่เขาปรุ่งแต่งเสร็จมาจากในบาร์เรียบร้อย ไม่ต้องไปบอกว่า อยากได้ยังงัย อะไร แต่ว่าปัญหามันมาอยู่ที่ตัว Classic Martini นี่แหละครับ ที่จนป่านนี้ ทั้งตัวของ Bartender เองและลูกค้า บางครั้งยังสับสนและเข้าใจไม่ค่อยจะตรงกันอยู่เลย ในการสั่ง Classic Martini หลายๆ คนคงจะงง ๆ แล้วว่ามันจะอะไรนักหนา แค่สั่งเครื่องดื่ม เดี๋ยวเรามาดูกันนะครับผม แล้วจะรู้ว่าทำไมมันสับสนนักหนาขนาดต้องเอามาเขียนเป็นเรื่องเป็นราวได้เลย
ก่อนอื่นมาดูคำถามที่ใช้บ่อยกันก่อนเลยครับ
ทันที่ ที่เราสั่ง Martini
คำถามแรกเลยที่ Bartender จะถามกลับมาคือ จะเอา Gin หรือ Vodka
คำถามที่สอง ก็คือ จะเอาแบบ Straight up หรือว่า แบบ On the Rocks
คำถามที่สาม ก็คือ จะเอา Olive หรือว่า Twist
และหรือ คำถามต่อไป สำหรับบางที่ เขาจะถามว่า จะเอา Single หรือ Double ด้วยถ้าเขามีบริการตรงนั้น
ถ้าไปนั่งบาร์เมืองนอก อย่าไปเผลอสั่ง Martini ทีเดียวเชียวนะครับ จะโดนยิงคำถามกลับมาแบบตั้งตัวไม่ติดเลยนะครับผม นี่ยังเด็กๆ ครับผมสำหรับเรื่องน่าปวดหัวจาก Martini นี่คือหน้าที่ของพนักงานเสริฟและ Bartender แค่นั้น มันมีเรื่องน่าปวดหัวมากกว่านั้นก็คือว่าลูกค้าแต่ละคนที่ชอบดื่ม Martini นี้ส่วนใหญ่แล้วจะมีความชอบที่ไม่เหมือนกัน และก็เลยเกิดคำศัพท์มากมายที่ใช้ในการสั่ง Martini ในแบบที่ตัวเองชื่นชอบ ซึ่งบางคำบางอย่างนั้นก็เรียกได้ว่าเป็นสากลที่ไหนก็ใช้ แต่ว่าบางคำก็เกิดจากการนึกคำพูดขึ้นมาเพื่อใช้งานในบางที่บางบาร์และเป็นที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา ซึ่งบางคำนั้น มักจะทำให้ทั้งผู้สั่งคือลูกค้าเองนั้นและ Bartender นั้นเกิดความสับสนกันอยู่เรื่อยเลย ลองมาดูคำสั่งยอดฮิตของ Martini กันดูครับผม
Dry คำนี้เป็นคำง่ายๆ ที่ทั้ง ลูกค้าและBartender หลายๆคนเองก็สับสน ถ้าลูกค้าสั่งว่าอยากได้  Dry  Martini นั้นหมายความว่า ลูกค้าต้องการ Martini ของเขานั้น ใส่ Dry Vermouth มาแค่นิดเดียว ก็ประมาณว่าครึ่งนึงของที่เคยใส่ ก่อนอื่นเลยต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนนะครับผม ว่า Martini นั้นส่วนใหญ่จะใส่ Dry Vermouth กันแค่ 1/4  Oz และหรือ บางที่จะใส่ 1/2 Oz กันแค่นั้น ถ้าลูกค้าสั่ง Dry Martini ก็ให้ลดสัดส่วนของสูตรที่ตัวเองใช้อยู่ลงมาครึ่งนึงก็จะได้ความหมายของคำว่า Dry Martini
Extra Dry คำนี้แหละเป็นตัวที่ทำให้สับสนกันไปแล้วทั่วโลก สำหรับลูกค้าใหม่หัดดื่ม Martini กับ Bartender ที่พึ่งมาทำงานเป็นบาร์ในรุ่นหลังๆ มานี้ คำว่า Extra ฟังดูแล้วน่าจะมีความหมายว่า พิเศษ เพิ่ม มากขึ้น อะไรทำนองนี้ใช่มั๋ยครับ มันก็ใช่นะ แต่ว่าพอมันมารวมกับคำว่า Dry ความหมายของมันก็เลยแปลเต็มตัวว่า Extra Dry คือ ขอแบบไม่หวานเลย [Dry ในภาษาเหล้า ภาษาไวน์ คือว่าไม่หวาน หรือหวานน้อย] พอมารวมกับคำว่า Extra ก็เลยเป็นว่าไม่เอาหวานเลย  แต่ว่าบ่อยครั้งที่ลูกค้าและ Bartender มือใหม่ต่างเข้าใจว่าคำว่า Extra Dry คือต้องใส่ Dry Vermouth เยอะๆ มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นการเข้าใจที่ผิด Extra Dry  คือไม่ต้องใส่ Dry Vermouth เลย หรือเรียกอีกอย่างว่าคนที่สั่ง Gin หรือ Vodka Martini Extra Dry เครื่องดื่มที่เขาจะได้ก็คือ Gin หรือ Vodka เพรียวๆ ที่ผ่านการทำให้เย็นโดยการเขย่าก็แค่นั้นเองครับผม และก็ถ้าเป็นการสั่งแบบ On th Rocks มันก็คือ Gin หรือ Vodka ใส่น้ำแข็งและก็มี Olive หรือ Twist ให้เลือกก็แค่น้ันเองครับ
In Out Martini นี่ก็เป็นอีกคำนึงที่ทำเอาหลายๆคนทั้งคนสั่ง ทั้งคนทำ ความหมายของคำว่า In Out นั้น มันเป็นศัพท์สำหรับคนที่ชอบดื่ม Martini แบบว่า จะเอาแบบ Dry ก็ไม่ชอบ ยังมีความหวานของ Dry Vermouth หลงเหลืออยู่ ครั้นจะส่ังแบบ Extra Dry ก็บาดคอจนเกินไปเพราะว่ามันมีแต่ Gin และ Vodka ล้วนๆ ก็เลยเกิดไอเดียว่าอยากได้แต่กลิ่นและรสของมันนิดหน่อยก็พอ โดยวิธีการนั้น  Bartender จำทำการริน Dry Vermouth ก็เท่ากับสูตรของแต่ละที่ อาจจะเป็น 1/2 Oz หรือ 1/4 Oz ลงในกระบอก Shaker แล้วก็ทำการแกว่งกระบอกหรือใช้ Bar Sppon คนพอให้ Dry Vermouth นั้นได้เคลือบผิวของกระบอก Shaker จนทั่วแล้วก็เททั้ง Dry Vermouth และน้ำแข็งนั้นทิ้งไป แล้วก็ตักน้ำแข็งใหม่มาใส่แล้วก็เติม Gin หรือ Vodka แค่นั้น ทำการเขย่าแล้วก็รินใส่แก้วเป็นอันเสร็จ ดูซิว่าความเรื่องมากของคนดื่ม Martini นี่ยังไม่หมดครับผม ดูกันต่อไป
A Dash จากด้านบนที่เลือกไม่ได้ว่าจะอยู่ตรง Dry หรือ Extra Dry กลุ่มนี้คือว่าตัดสินใจไม่ได้เหมือนกันว่าจะเอายังงัยดี แต่ว่าก็ยังดีกว่ากลุ่มเก่า เพราะว่าถ้าทำแบบ In Out นั้นก็รู้สึกว่าเสียดายของที่ต้องเททิ้งไป ก็เลยบอกว่าของฉันขอแค่ 2-3 เหยาะก็พอ คำว่า A Dash หรือ Just a Dash ก็เลยกลายเป็นการทำ Martini ที่ลดการใช้ Dry Vermouth ลงมาเยอะมาก ใช้น้อยกว่าแบบที่เรียกว่า Dry อีก ก็เอาง่ายๆว่า ใช้วิธีการเหยาะเอา 2-3 ครั้งแล้วแต่ว่ามันลงไปแค่ไหน แต่ว่าต้องไม่เยอะครับผม นิดเดียว นี่ยังไม่จบครับผม
Dirty Martini นี่ก็เป็นอีกคำนึงที่คนอเมริกันทั้งหลายชอบกันมาก ไม่รู้ว่ามันชอบอะไรกันนัก ผมเองทำมาเยอะ ลองมาแยะแล้ว บอกได้คำเดียวว่ามันไม่ได้อร่อยหรือว่ามีความน่าดื่มอะไรเลย เหมือนดื่มอะไรที่เค็มๆ น่ะ มันไม่ใช่วิสัยของคนไทยมั้ง Dirty Martini นั้นก็คือสำหรับคนที่ชอบดื่ม Martini เหมือนขั้นตอนปรกติ แต่ว่าขอเติม Olive Juice  ลงไปด้วยให้สีที่ขาวใสแรงด้วยแอลกอฮอล์มีมลทินเพิ่มเข้าไปอีก ด้วยความขุ่นมัวของ Olive Juice ลงไปด้วย ก็เพราะว่่าจากสีที่ใสสะอาดดีๆ อยู่แล้วพอสีออกมาขมุกขมัวมั้งก็เลยเป็นที่มาของคำว่า Dirty Martini ไม่ได้แปลว่า Martini ที่สกปรกแต่อย่างใดนะครับ 555
Slight Dirty Martini นี่ก็เป็นอีกความเรื่องมากของคนอเมริกันครับผม จากที่ได้ดื่ม Dirty Martini แล้วมีความรู้สึกว่า มันค่อนข้างเค็มไปหน่อยมั้ง??? เลยไม่ชอบ แต่ว่าก็ยังอยากจะได้รสชาดของ Olive Juice อยู่ แต่ว่าก็ไม่อยากที่จะทำให้รสชาดของเครื่องดื่มและสีสันเปลี่ยนไปมากนัก ก็เลยขอแบบว่านิดนึงก็แล้วกัน Slight Dirty ก็เลยมีความหมายประมาณว่า ใส่ Olive Juice น้อยลงมากว่าที่เราทำแบบ Dirty Martini ครึ่งนึงก็แล้วกัน
Extra Dirty Martini มาอีกแล้วครับผม Extra แต่ว่า Extra Dirty คำนี้มันหมายถึงเอาแบบ Dirty Martini นะแหละ แต่ว่าขอมากขึ้นกว่านั้นชอบมากๆ เลย ไอ้น้ำขุ่นๆ เหมือนอะไรที่สกปรกๆ และรสชาดก็เค็มๆ แบบนี้ ถ้าเจอตัวนี้ ส่ิงที่ Bartender ต้องทำเพ่ิมก็คือว่าต้องใช้ Olive ประมาณ 3-4 ลูกใส่ลงไปใน Shaker แล้วก็ทำการบดหรือที่เรียกว่า Muddle ให้พอละเอียด จากนั้นก็เติมส่วนผสมในการทำ Martini และที่สำคัญต้องเติม Olive Juice เข้าไปด้วย ก็ทำการเขย่างแล้วรินใส่แก้วตามปรกติ แต่ว่าที่มันไม่ปรกติ ก็คือสีและรูปลักษณะของเครื่องดื่มแก้วนี้มันจะออกไม่ธรรมดาสักเท่าไหร่ เพราะว่ามันดูสกปรกเอามากๆเลย มันจะเห็นเศษชิ้นส่วนของ Olive และพริก Pimento ที่แหลกเละเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยลอยกันเต็มอยู่ในแก้ว มองดูกี่คร้ังๆ ก็ไม่นึกอยากจะดื่ม แต่ว่ามันก็มีคนอยู่อีกเยอะเลยแหละครับที่ชอบสั่งเจ้าเครื่่องดื่มแก้วนี้

วันนี้คงไม่จบครับผม มันยังมีอะไรที่น่าสับสน น่าปวดหัวเกี่ยวกับ Martini กันอยู่อีกครับผม เดี๋ยวจะมาเล่าต่อพร้อม สูตรและวิธีทำ Martini กันเลยดีกว่าครับผม วันนี้ก่อนจากมีรูปภาพของ Martini มาให้ดูกันก่อน แล้วกลับมาดูวิธีทำกันครับผม หรือถ้าใครอยากจะเห็น อยากจะดู อยากจะลองทำตอนนี้เลย เข้าไปดูก่อนที่ Konchonglao ก็ได้ครับผม บล็อคหลักของผมเองครับผม



วันอาทิตย์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

งดเหล้า เข้าพรรษา

สวัสดีครับผม ขาดื่มแฟนบล็อคของ "คนชงเหล้า" ทุกๆคน ช่วงนี้ตามผับตามบาร์ก็คงจะเงียบเหงากันอยู่บ้างพอสมควร[ หรือเปล่า??] เพราะว่าวันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันสำคัญทางศาสนา ที่คนไทยส่วนใหญ่มักจะเลือกเอาช่วงเทศกาลนี้ในการทำความสะอาดและพักผ่อนการทำงานของตับ และสุขภาพของร่างกายกัน ด้วยการ งดเหล้าในวันเข้าพรรษา  อย่าว่าอย่างนั้น อย่างนี้เลย วันนี้ ทางบล็อคของ "คนชงเหล้า" ก็อยากจะขอมีส่วนในวันสำคัญนี้บ้างก็แล้วกัน เอาเป็นว่าช่วงนี้คงจะไม่ได้พูดถึงเรื่อง Cocktails มากซักเท่าไหร่ แต่ว่าก็ยังจะคงนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับเครื่องดื่ม และก็ที่มาที่ไปของมันเหมือนเดิม แต่ว่าคงไม่ถึงกับให้จบพรรษานะ ไม่งั้นแฟนๆ ก็คงหายหน้าหายตากันหมดพอดี แบบว่าขอมีส่วนร่วมในกิจกรรมดีๆ บ้างครับ
วันนี้ก็เลยมีเรื่องราวเกี่ยวกับวัน อาสาฬหบูชา มาฝากกันนิดหน่อยครับ พอให้ได้รู้ที่มาที่ไปกันบ้าง บอกตรงๆ ครับ ปีนึงมีครั้งอย่างนี้ลองไปถามเด็กๆ ดูซิ ว่าวันอาสาฬหบูชานั้น มันเป็นวันสำคัญอะไร ยังงัย เด็กๆก็จะทำหน้างงกันซะส่วนใหญ่ แต่ว่าถ้าถามว่าวัน Valentines ตรงกับวันที่เท่าไหร่ และเป็นวันอะไร เด็กไทยทั้งประเทศไล่กันมาตั้งแต่อนุบาลที่เร่ิมพูดได้ไม่กี่คำ สามารถตอบโจทย์นี้กันได้ผมคิดว่าน่าจะ 99.99% กันเลยก็ว่าได้ มาทำความรู้จักกันนิดนึงครับ


วันอาสาฬหบูชา  เป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธนิกายเถรวาท และวันหยุดราชการในประเทศไทย คำว่า อาสาฬหบูชา ย่อมาจาก "อาสาฬหปูรณมีบูชา" แปลว่า "การบูชาในวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ" อันเป็นเดือนที่สี่ตามปฎิทินของอินเดีย ตรงกับวันเพ็ญ เดือน 8 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย ซึ่งมักจะตรงกับเดือนมิถุนายน หรือเดือนกรกฎาคม แต่ถ้าในปีใดมีเดืนอ 8 สองหน ก็ให้เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 8 หลังแทน
วันอาสาฬหบูชาได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 45 ปี ก่อน พุทธศักราชในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 8 คือวันอาสาฬหปุรณมีดิถี หรือวันเพ็ญเดือนอาสาฬหะ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เมือง พาราณสี แคว้นมคธ อันเป็นวันที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระธรรมเทศนาเป็นครั้งแรกเป็นปฐมเทศนา คือธัมมจักกัปปวัตตนสูตร แก่ปัญจวัคคีย์
การแสดงธรรมครั้งนั้นทำให้พราหมณ์โกณฑัญญะ 1 ใน 5 ปัญจวคคีย์ เกิดความเลื่อมใสในพระธรรมของพระพุทธเจ้า จนได้ดวงตาเห็นธรรมหรือบรรลุเป็น พระอริยบุคคลระดับโสดาบันท่านจึงขออุปสมบทในพระธรรมวินัยของพระพุทธเจ้า ด้วยวิธี เอหิภิกขุอุปสัมปทา พระอัญญาโกณฑัญญะ จึงกลายเป็นพระสงค์องฆ์แรกในโลก และด้วยเหตุที่ท่านได้บรรลุธรรมเป็นพระอริยบุคคล (อนุพุทธะ) เป็นคนแรก จึงทำให้ในวันนั้นมีพระรัตนตรัยครบองค์สามบริบูรณ์เป็นครั้งแรกในโลก คือ มีทั้งพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้วันนี้ถูกเรียกว่า "วันพระธรรม" หรือ วันพระธรรมจักร อันได้แก่วันที่ล้อแห่งพระธรรมของพระพุทธเจ้าได้หมุนไปเป็นครั้งแรก และ "วันพระสงฆ์" คือวันที่มีพระสงฆ์เกิดขึ้นเป็นครั้งแรก อีกด้วย
เดิมนั้นไม่มีการประกอบพิธีการบูชาในเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชาในประเทศพุทธเถรวาทมาก่อน จนมาในปี พ.ศ. 2501 การบูชาในเดือน 8 หรือวันอาสาฬหบูชาจึงได้เริ่มมีขึ้นในประเทศไทย ตามที่ คณะสังฆมนตรีได้กำหนดให้วันนี้เป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาของประเทศไทยอย่างเป็นทางการเมื่อ พ.ศ. 2501 โดยคณะสังฆมนตรีได้มีมติให้เพิ่มวันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาในประเทศไทย ตามคำแนะนำของพระธรรมโกศาจารย์ [ชอบ อนุนจารี]โดยคณะสังฆมนตรีได้ออกเป็นประกาศสำนักสังฆนายกเมื่อวันที่  14 กรกฎาคม พ.ศ. 2501 กำหนดให้วันอาสาฬหบูชาเป็นวันสำคัญทางพุทธศาสนาพร้อมทั้งกำหนดพิธีอาสาฬหบูชาขึ้นอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยมีพิธีปฏิบัติเทียบเท่ากับวันวิสาขบูชา อันเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนาสากล
อย่างไรก็ตาม วันอาสาฬหบูชาถือเป็นวันสำคัญที่กำหนดให้กับวันหยุดของรัฐเพียงแต่ในประเทศไทยเท่านั้น ส่วนในต่างประเทศที่นับถือพุทธศาสนานิกายเถรวาทอื่น ๆ ยังไม่ได้ให้ความสำคัญกับวันอาสาฬหบูชาเทียบเท่ากับวันวิสาขบูชา
ครับผม ก็เล็กๆ น้อยๆ เก็บมาฝากกันครับ ยังงัยๆ วันนี้ก็งดๆ กันหน่อยก็แล้วกันนะครับผม แล้ว
กลับมาดื่มดำ่ความรู้และข้อมูลดีๆ จากคนชงเหล้ากันต่อครับผม 

วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Singapore Sling


Singapore Sling

ครับผม วันนี้แวะเอาข้อมูลดีๆ ที่เราๆท่านๆ อาจจะหลงจะลืมมันไปแล้ว เพราะว่าเราได้ยินชื่อมันจนเป็นเรื่องปรกติเคยชินไปเสียแล้ว วันนี้เราจะมากล่าวถึง Cocktails ตัวนึง ซี่งเคยได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในอดีต และจนกระทั้งในปัจจุบันนี้ก็ยังคงพอได้รับความนิยมอยู่บ้าง เรียกว่าเป็น Cocktails ในตำนานตัวนึงเลยก็ว่าได้เช่นกัน Cocktails ตัวที่กำลังพูดถึงนี้ก็คือ Singapore Siling ครับผม ชื่อก็บอกแล้วว่ามันต้องเป็นเครื่องดื่มที่มาจาก Singapore อย่างแน่นอนอยู่แล้ว Cocktails ตัวนี้มีมานานแสนนานแล้ว เมื่อตอนที่ผมก้าวเข้าสู่เส้นทางของโรงแรมครั้งแรกเลย เมื่อครั้งยังเป็นวัยรุ่นอยู่เลย ก็เคยได้ยินชื่อของ Cocktails ตัวนี้แล้ว วันนี้จะพาไปดู ประวัติ ความเป็นมาของมันอย่างคร่าวๆ กันครับผม

a

Sing



สิงคโปร์สลิง (Singapore Sling) เป็น Cocktails ที่คิดค้นโดยเงียมตงบุน Bartender ที่ทำงานอยู่ที่ลองบาร์ (Long Bar) ในโรงแรมราฟเฟิลส์ สิงคโปร์ เมื่อก่อน พ.ศ. 2458  สูตรที่ตีพิมพ์ในบทความเกี่ยวกับโรงแรมราฟเฟิลส์ก่อนทศวรรษที่ 1970 นั้นแตกต่างจากสูตรในปัจจุบันอย่างมาก และ "สิงคโปร์สลิง" ที่ดื่มในสิงคโปร์นั้นส่วนใหญ่เปลี่ยนแปลงมาจากสูตรที่ใช้ในโรงแรมราฟเฟิลส์ สูตรเดิมจะใช้ Gin, Cheery Herring, Benedictine และส่วนที่สำคัญที่สุดคือ น้ำสัปปะรดสด ซึ่งแรกเริ่มเลยจะใช้สับปะรดซาราวัก ช่วยเพิ่มรสชาดและทำให้เกิดฟอง สูตรส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะใช้น้ำสับปะรดบรรจุขวดแทนน้ำสับปะรดสด และเติมโซดาให้เกิดฟองด้านบน สูตรของโรงแรมถูกคิดขึ้นใหม่จากความทรงจำของ Bartender คนก่อนๆ และจดบันทึกไว้ ซึ่งทำให้สามารถรู้เกี่ยวกับสูตรเดิมได้ หนึ่งในสูตรที่เขียนไว้อย่างลวกๆ ยังคงจัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์โรงแรมราฟเฟิลส์
สูตรของโรงแรมราฟเฟิลส์ในปัจจุบันได้รับการปรับปรุงจากสูตรเดิมในหลายส่วน ซึ่งเป็นไปได้มากว่าปรับปรุงในทศวรรษที่ 1970 โดยหลานของเงียมตงบุน ทุกวันนี้สิงคโปร์สลิงที่บริการที่โรงแรมราฟเฟิลส์มักจะผสมไว้ล่วงหน้า และใช้เครื่องปั่นอัตโนมัติที่ผสมแอลกอฮอล์และน้ำสับปะรดในปริมาณที่กำหนดไว้ แล้วปั่นรวมกันแทนการเขย่าเพื่อให้เกิดฟองด้านบนได้ดี รวมทั้งยังช่วยประหยัดเวลาเมื่อมีรายการสั่งจำนวนมาก แต่ก็ยังสามารถสั่งแบบเขย่าได้จากบาร์เทนเดอร์
นี่แหละครับผม ประวัติ ความเป็นมาของเจ้า Cocktails ที่ชื่อว่า Singapore Sling ครับผม เดี๋ยววันหน้าเรามาทำดื่มกันก็ได้ครับผม


นี่แหละครับหน้าตาของเครื่องดื่มที่แก้วล่ะเกือบพันบาทไทย ความอร่อยนั้นก็ไม่เท่าไหร่ครับ แต่ว่าความเป็นตำนานและความมีชื่อเสียงของการสร้างเครื่องดื่มตัวนี้ต่างหาก

เป็นยังงัยกันบ้างครับผม แฟนๆ คนชงเหล้า ทั้งที่เคยติดตามกันมาซักพัก และพึ่งจะเข้ามาก็ต้องขอกล่าวคำว่ายินดีต้อนรับทุกๆคนนะครับผม ยังงัยก็ติดตามผลงานของ คนชงเหล้ากันต่อไปนะครับ
Drinks Responsibly

pore Sling


วันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Top 5 Spirits 4


p 5 Spirits 4

สวัสดีครับ คอเหล้าทั้งหลาย และก็แฟนๆของ "คนชงเหล้า" ทุกๆคนที่ได้ติดตามอ่านบล็อคเล็กๆ บล็อคนี้มา จะด้วยว่าตั้งใจค้น ตั้งใจหามาจนเจอ หรือว่าบังเอิญหลงเข้ามาได้งัยก็ยังไม่รู้ เอาเป็นว่

ToTop 5 Spirits 4

สวัสดีครับ คอเหล้าทั้งหลาย และก็แฟนๆของ "คนชงเหล้า" ทุกๆคนที่ได้ติดตามอ่านบล็อคเล็กๆ บล็อคนี้มา จะด้วยว่าตั้งใจค้น ตั้งใจหามาจนเจอ หรือว่าบังเอิญหลงเข้ามาได้งัยก็ยังไม่รู้ เอาเป็นว่ายินดีต้อนรับทุกๆคนครับผม บล็อคของเราเป็นบล็อคเปิดอยู่แล้วครับ ในหลายๆบล็อคของผม ก็พยายามนำเสนอ ทั้งเรื่องของข้อมูลของสิ่งต่างๆ ที่หลายๆคนในวันนี้ก็สามารถหาได้จากในอีกหลายๆ เว็ป หลายๆบล็อค ที่ทุกๆคนก็ต่างนำเสนอสื่อต่างๆเหล่านี้กันอยู่แล้ว แต่ว่าที่นี่ บล็อคของ คนชงเหล้า ค่อนข้างจะแตกต่างจากบล็อคของคนอื่นอยู่นิดนึงก็ตรงท่ีว่า แค่อยากจะคุย อยากจะบอก อยากจะถ่ายทอด ที่สำคัญอยากจะ"เหล้า" เล่า สู่กันฟังในภาษาบ้านๆ ไม่เน้นวิชาการมากเกินไป เอาแบบว่าเหมือนนั่งคุยกันในวงเหล้าซะมากกว่า เพราะฉนั้น ถ่อยคำ หรือการใช้ภาษาบางครั้งอาจจะไม่ค่อยไพเราะเพราะหูหลายๆคนมากนัก อันนี้ ข้ากระผมผู้เขียนบล็อคของ "คนชงเหล้า" ทั้งหมด ก็ต้องขอโทษขออภัยไว้ ณ ตรงที่นี้ด้วยนะครับ

เอาล่ะครับ แนะนำกันมาพอสมควร สมเหตสมผลแล้ว พอแล้วเถอะเดี๋ยวคนเขาจะสมน้ำหน้าเอา อันนี้ไม่เอานะแค่แหย่เล่นไม่อยากให้เครียดกันมากจนเกินไปครับผม กำลังจะชวนมานั่งวงรินกิน "ดื่ม"เหล้า กันในอีกไม่กี่อึดใจนี้แล้ว เตรียมโซดาน้ำแข็งให้พร้อม เพราะว่าวันนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่องของ เหล้าตัวนึงที่เขาเรียกกันว่า Whisky หรือบางทีก็อาจจะเห็นเขาเขียนกันว่า Whiskey เอ แล้วมันแตกต่างกันยังงัยหรือเปล่าไอ้สองตัวนี้

Whisky นั่นส่วนใหญ่แล้วจะใช้กันทาง UK.และก็ Canada กันซะเป็นส่วนใหญ่ เช่นถ้าเป็น เหล้าที่มาจาก Scotchland ก็จะใช้คำว่า Scotch Whisky ที่ข้างขวด ลองสังเกตดูนะครับ ส่วนใหญ่แล้วเหล้าที่ขายอยู่บ้านเราน่ะ จะมาจาก ฝั่ง Scotchland ซะส่วนใหญ่ ของฝั่ง U.S.A. ก็พอมีแต่ว่าพี่ไทยไม่ค่อยชอบ หรือว่ายังไม่ลองก็ไม่รู้


ขวดนี้คิดว่าทุกคนที่ดื่มเหล้าและหรือไม่ดื่มก็น่าจะรู้จักกันเป็นอย่างดี เทพบุตรนักเดินทาง เพราะพ่อเขาบอกว่า Keep Walking ส่วนพวกเรานั้น มีคำนึงที่น่าจะใช้ได้ Keep Drinking   

นี่ก็ตระกูลเดียวกันกับรุ่นพี่ด้านบน 

รุ่นนี้ดูๆไปก็เหมือน Chivas โดยทั่วไป แต่ว่ารุ่นนี้เป็นรุ่นที่หมักบ่มนานกว่ารุ่นปรกติอยู่ถึง 6 ปี ก็เลยทำให้ว่ากันว่า รสชาดนั้นมันจะหอมหวลนุ่มคอมากขึ้นกว่าเดิม อันนั้นเป็นเรื่องที่ยังไม่เห็นผลที่แน่นอน แต่ว่าที่แน่นอนที่สุดก็คือ ราคาของมันแพงขึ้นไปกว่าเดิมแล้ว เยอะเลย

Canadian Club หรือว่าเรียกกันไปทั่วโลกว่า CC เช่นต้องการสั่งเหล้าตัวนี้ผสมโค้ก ก็แค่บอก Bartender ว่า ขอ CC Coke ที่นึง เป็นอันรู้กัน ว่าต้องการเหล้าตัวนี้ผสมโค้ก ตัวนี้ก็ใช้คำว่า Whisky
Whiskey นั่นส่วนใหญ่แล้วจะใช้กันทาง U.S.A.  ครับ เช่นกัน เหล้าที่มาจาก U.S.A. เช่น Jack Daniels และ Jim Beam ก็จะใช้คำข้างขวดว่า Whiskey เช่น


Jack Daniels จะใช้คำว่า Tennessee Whiskey ชื่อสั้นๆ ของเขาก็คือ Jack  รสหวานดื่มง่าย ใส่อะไรผสมลงไปก็อร่อย

Jim Beam ชืี่อสั้นๆ เป็น Bourbon Whiskey ที่มีชื่ออีกตัวของอเมริกันชน ประมาณว่าแม่โขงบ้านเราครั้งยังรุ่งเรืองประมาณนั้น แต่ว่าของเขา ยังรุ่งเรืองมาจนทุกวันนี้

ครับผม นั่นก็คือตัวอย่างคร่าวๆ ของการใช้คำว่า Whisky กับ Whiskey จริงๆ แล้วจะใช้คำว่าอะไร
ในฐานะผู้บริ โภค[ที่ดื่มได้ทุกยี่ห้อ] อย่างเราๆ แล้ว มันจะเขียนว่างัยช่างมัน ถ้าดีกรีมันถึง 40 % แสดงว่าใช้ได้แน่นอน
เอาล่ะครับผม วันนี้แวะมาทักทายกันก่อน ก่อนที่เราจะไปตั้งวงฟังเรื่องราวของเจ้า Whisky หรือ Whiskey กันในบทถัดไปครับผม

Drinks Responsibly


"คนชงเหล้า"

วันพุธที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Vodka Cocktails

สวัสดีครับผม วันนี้ขอวกกลับมาที่ Vodka กันก่อนอีกนิดนึงก่อนที่จะข้ามไปตัว Top 5 Spirits ตัวที่ 5 กัน Vodka นั้น เป็นเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมกันเป็นอย่างมากเลยก็ว่าได้  และในปัจจุบันนี้ Vodka เองนั้นก็มีหลากหลายรสชาดให้เลือกดื่มเลือกลองกัน ไม่เหมือนเมื่อก่อน คนที่รู้จักกับ Vodka ใหม่ๆ ก็จะคิดว่า Vodka นั้นก็เหมือนกับเหล้าขาวดีๆนี่เอง เพราะว่ามันมีแค่สีเดียวและกลิ่นที่แทบจะไม่มีอะไรให้น่าหลงไหลและลิ้มลองเลย แต่ว่า ณ เวลาปัจจุบันนี้ Vodka เองนั้น มีหลากหลายรูปรส กลิ่น และความนุ่มที่แตกต่างกันไปตามแต่ยี่ห้อ ตามแต่ราคา ส่วนใหญ่แล้ว Vodka จะกลั่นอยู่ที่ประมาณ 3 ครั้งกันเป็นส่วนใหญ่ แต่ว่าหลังๆมาก็มีหลายๆ ยี่ห้อที่พยายามสร้างความแตกต่างด้วยการกลั่นถึง 5 คร้ัง ก็เป็นการทำให้ Vodka นั้นๆ มีความนุ่มละมุนเพิ่มขึ้น หน่ีงในนั้นก็คือ Grey Goose Vodka และในตอนนี้ได้ข่าวแว่วๆมาว่ามีอีกตัวนึงของ Russia กลั่นถึง 8 ครั้ง มันจะอะไรนักหนา แต่ว่าราคาของมันก็สูงขึ้นไปอีกเกือบ 8 เท่าเหมือนกัน [อันนี้ล้อเล่นนะ คือว่าราคาสูงขึ้นอีกเยอะ]
Vodka นั้นถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในเครื่องดื่มมากกว่าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดอื่นเลยก็ว่าได้ และการเพิ่มการเติมอะไรนิดๆ หน่อยๆลงไปใน Vodka ก็ทำให้มันมืชื่อเรียกที่แตกต่างกันไปอย่างสิ้นเชิง ลองมาดู Basic Cocktails ที่ทำด้วย Vodka กันซักประมาณ 10 ตัว จริงๆแล้วบอกได้เลยว่ามีเยอะมาก เอาแค่นี้ก่อนเดี๋ยวจะงงกัน
Screwdriver ตัวนี้แค่ Vodka +Orange Juice
Grey Hound ตัวนี้แค่ Vodka+Grapefruit Juice
Salty Dog ตัวนี้แค่ Vodka+Grapefruit+Salt Rim
Blood Mary ตัวนี้แค่ Vodka+Tomato Juice+Celery&Salt Rim
Cape Cod ตัวนี้แค่ Vodka+Cranberry Juice
Madras ตัวนี้แค่ Vodka+Cranberry Juice+Orange Juice
Sea Breeze ตัวนี้แค่ Vodka+Cranberry Juice+Grapefruit Juice
Bay Breeze ตัวนี้แค่ Vodka+Cranberry Juice+Pineapple Juice
Kamikaze ตัวนี้แค่ Vodka+Triple sec+Lime Juice
Black Russian ตัวนี้แค่ Vodka+Kahlua
เห็นมั๋ยครับนี่คือ Cocktails ง่ายๆที่ยังเป็นที่ชื่นชอบของคนโดยทั่วๆไป ไม่มีอะไรพิเศษมากมาย เพียงแค่มี Vodka เป็นส่วนผสมแค่นั้นเอง ว่างๆ ก็ลองมาทำดูกันนะครับ
ชุดนี้หอบหิ้วมาไกลจากแถวๆ Caribbean 

เป็นชุดรวม Absolut มี 5 รุ่น 3 ตัวเป็นแบบปรุ่งแต่งกลิ่น อีก 2 ตัว ขวอสีดำกับสีน้ำเงิน เป็น Vodka ที่ไม่ได้ปรุงแต่งกลิ่น ตัวสีน้ำเงิน
40 % Alc. ตามปรกติ แต่ว่าตัวสีดำนี่ซิตัวแรง 50% Alc.

Absolut Vodka ชื่อนี้การันตี "คนชงเหล้า"ไม่ได้มีอะไรกับ Absolut นะครับ เพียงแต่ชอบการดีไซน์ของขวดแค่นั้น และที่เอามาให้ดูก็คือของที่ผมเก็บไว้อยู่แล้วครับ ไม่มีโฆษณามาแอบแฝง แต่ว่าถ้าอยากให้โฆษณาให้อันนี้ก็ไม่ว่ากันครับ 

Absolut Mandrin รสส้มครับ ตามสีที่ขวดเลย ผสมอะไรดื่มก็โอครับแล้วแต่ชอบ แค่ใส่ Tonic กับส้มซักชิ้นแค่นี้ก็โอแล้ว

Absolut Pears รสลูกแพร์ บอกตรงๆตัวนี้ยังไม่เคยลองเลย  ยังไม่ได้เปิด เพราะถ้าเปิดแล้วเดี๋ยวมันจะหมดเอาง่ายๆ

Absolut Citron กลิ่นมะนาวเหลืองประมาณนั้น ตัวนี้ก็เป็นตัวผสม Cocktails ได้หลายตัวครับ

Absolut 100 นี่คือตัวแรงที่เราพูดถึง 100 หมายถึง 100 Proof 
 ซึ่งก็คือ 50% Alc. นั่นเอง
นี่ก็อีกหนึ่งชุดสะสม บอกแล้วว่าชอบ Absolut


ชุดนี้ก็ขบวน Vodka 

ตัวนี้ลืมกล่าวถึงเมื่อตอนที่พูดถึง Vodka มันก็คือ SKYY Vodka น้องใหม่จาก U.S.A. ก็ได้รับความนิยมพอสมควรในหมูคน American นะ สำหรับที่อื่น "คนชงเหล้า" ไม่รู้ครับ
ครับผมแล้วยังงัยจะกลับมาต่อ Top 5 Spirits ตัวที่ 5 ในเร็ววันนี้ครับ ยังงัยก็ติดตามบล็อคของ "คนชงเหล้า"กันต่อไปครับอย่างที่รู้ครับไม่ใช่บล็อคนี่แค่นั้น ยังมีอะไรดีๆน่าอ่านหน้าติดตามคอยอยู่อีกเยอะเลยครับ เช่นเคยครับ
Drinks Responsibly
ด้วยความปรารถนาดี จาก "คนชงเหล้า"


วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Mojito

กลับมาอีกครั้งตามคำเรียกร้องครับผม เคยคุยกันไว้เมื่อวันก่อนว่าจะนำสูตรและวิธีการทำเครื่องดื่มสุดฮิตและรสชาดสุดฮ็อทมาฝากกัน วันนี้ก็พร้อมแล้วที่จะมานำเสนอให้กับมิตรรักแฟนบล็อคทุกๆคนครับ แต่ว่าก่อนที่จะเข้าเรื่องการทำเครื่องด่ืมกันนั้น คนชงเหล้า หรือข้ากระผมเองขอแนะนำตัวเองเพิ่มอีกนิดนึงสำหรับใครที่พึ่งจะเปิดบล็อคนี้เข้ามาโดยบังเอิญ แต่เชื่อว่าความบังเอิญนั้นไม่ได้ทำให้ท่านเสียเวลาอย่างเปล่าประโยชน์อย่างแน่นอน คืออยากจะบอกว่า จริงๆแล้วไม่ได้มีแค่บล็อคนี้บล็อคเดียวนะครับผม ผลงานของ "คนชงเหล้า" หรือข้ากระผมเองนั้นยังมีอยู่อีกหลากหลายบล็อคด้วยกันนะครับ ยังกำลังต้องการผู้ติดตามและผู้อ่านกันอยู่นะครับผม ผมเขียนไปเรื่อยครับ ทั้งเรื่องของข้อมูลความรู้ และเรื่องไรสาระ แบบว่าอยากเขียนอะไรเขียน อยากบอกอะไรบอกประมาณนั้น บล็อคเด่นๆ [ในความคิดผม] ที่อยากจะแนะนำมีดังนี้ครับ
ถ้าใครชอบเรื่องเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ Cocktails ให้คลิกที่นี่เลย Cocktails
ถ้าใครชอบดูหรือว่าชอบสะสมแสตมป์ คลิกที่นี้เลย Stamp
ถ้าใครชอบดูหรือว่าชอบสะสมเหรียญทั้งในและต่างประเทศ คลิกที่นี้เลย Coins
ถ้าใครชอบดูหรือว่าชอบสะสมของเกี่ยวกับโค้ก คลิกที่นี้เลย Coke
ถ้าใครชอบดูหรือว่าชอบสะสมรถเหล็ก รถของเล่นเก่า คลิกที่นี้เลย Car
ถ้าใครชอบดูหรือว่าชอบงานฝีมือ งานลวด คลิกที่นี่เลย Handmade
และก็ยังมีอีกหลายๆบล็อคหลายๆเรื่องราว ยังงัยก็ติดตามกันต่อไปครับ เห็น "คนชงเหล้า" ที่ไหนเข้ามาดูเข้ามาอ่านได้เลยครับผม ถ้าชอบถ้ารักกันก็ติดตามกันไปเรื่อยๆครับผม ตอนนี้บล็อคก็ยังไม่มีข้อมูลครบถ้วนกระบวนการมากมายอะไรหรอกครับ แต่ว่าก็มีข้อมูลอยู่บ้างมากน้อยก็แล้วแต่ว่าเรากำลังหาอะไร แต่ว่าผมก็พยายามทำการอัปเดทบล็อคทุกวันครับ แต่ว่าก็คงไม่ได้ทุกบล็อคครับแต่ว่าไม่เกิน 2-3 วันแต่ละบล็อคก็จะมีการอัปเดทอยู่ตลอดเวลาครับ เดี๋ยวให้ทำลิงค์ทำเพจต่างๆให้เสร็จสมบูรณ์มากกว่านี้คงมีการขอให้เข้ามากด follows มากด Like กันให้บ้างแหละ ตอนนี้ขอเวลาอีกนึดนึงครับ แค่เข้ามาอ่านมาดูก็ขอบคุณมากครับ 
มาดูกันดีกว่าครับ ว่าต้องเตรียมตัวอะไรอย่างไรบ้างในการทำ Mojito เครื่องดื่มที่มัน Hit & Hot กันนักหนาในต่างประเทศ และในบ้านเราเองก็เริ่มกันบ้างแล้ว

Mojito

มาดูไปพร้อมๆกับด้วยรูปภาพเลยดีกว่า
สิ่งที่ต้องเตรียมก็มีประมาณนี้ครับ โซดา.....Rum ยี่ห้ออะไรก็ได้ แต่ว่าแนะนำ Bacardi ....มะนาวหั่นเป็นลูกเต๋า......ใบสะระแหน่.....น้ำเชื่อม

อุปกรณ์ที่ต้องมีก็ประมาณว่า กระบอก Shaker กับ Boston Glass  ที่บดหรือว่า Muddler   ช้อนทั่วไปหรือว่า Bar Spoon 

นำมะนาว ใบสะระแหน่และน้ำเชื่อมใส่ลงไปใน Boston Glass

ใช้เจ้าที่บด Muddler บดส่วนผสมให้เข้ากันพอประมาณ ไม่ต้องบดจนและนะครับ

เสร็จแล้วใส่น้ำแข็งกะว่ามันน่าจะได้เต็มแก้วที่เราเตรียมไว้พอดี และน้ำแข็งต้องไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป 


แล้วก็มาถึงหน้าที่พระเอกของเรานั่นก็คือ Bacardi Rum นั่นเอง โฆษณาก็ไม่ได้นะเนี่ยแต่ว่าเชียร์จังเลย

ริน Bacardi Rum ลงไปประมาณ 1 1/2 Oz ก็น่าจะได้ตามรูป

แล้วก็นำกระบอก Shaker มาปิดปาก Boston Glass แล้วก็ใช้มือเคาะที่ด้านบนให้แน่นพอประมาณ แล้วก็ทำการเขย่าให้ส่วนผสมเข้ากันครับ

เสร็จแล้วเทส่วนผสมใน Shaker ทั้งหมดลงในแก้วก็จะได้ประมาณนี้เหลือพื่้นที่ไว้นิดหน่อยพอได้เติมโซดาเพื่ิมความซ่า

แล้วก็เติมด้วยโซดาจนเต็มประมาณนี้

ก่อนยกแก้วชนกัน ประดับด้วยมะนาวซักซีก เวลายกดื่มก็จะได้ทั้งกลิ่นจากใบสะระแหน่ และก็กลิ่นหอมจากมะนาวและที่สำคัญรสชาดที่นุ่มละมุนหวานนิดๆจาก Bacardi แค่นี้ก็อยู่ติดบ้านได้ทุกวันแล้วครับ
เป็นยังงัยกันบ้างครับ ทำเสร็จกันแล้วหรือยังครับ สำหรับใครที่ไม่ชอบดื่มแอลกอฮอล์แต่ว่าอยากลองอะไรที่คลายๆกันกับเจ้า Mojito นี้ให้ลองเขาไปดูที่นี่ Pink Mojito ครับ เป็นบล็อคอีกบล็อคนึงของคนชงเหล้า หรือว่าข้ากระผมเองครับ เขียนเกี่ยวกับเรื่องราวของเครื่องดื่มที่ปราศจากแอลกอฮอล์ครับ 
เอาล่ะครับมีความสุขในการดื่มกันนะครับแต่ว่าต้องไม่ลึมนะครับว่าปลอดภัยไว้ก่อน เพราะฉนั้นไม่ดื่มขณะขับรถนะครับ เดี๋ยวเครื่องดื่มเราจะหก เสียดายของแย่เลย แล้วเจอกันครับ

Drinks Responsibly

ด้วยความปรารถนาดีจาก "คนชงเหล้า" 

วันอาทิตย์ที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

Top 5 Spirits 3

สวัสดีครับ ขาดื่มขาเมาทั้งหลาย เป็นยังงัยกันบ้างครับ ได้ลองทำเครื่องดื่ม ไว้ดื่มเองที่บ้านกันแล้วบ้างหรือยังครับ Cocktails กับการดื่มในบ้านเรานั้น ต้องขอบอกตามตรงว่ายังไม่ค่อยได้รับความนิยมเท่าไหร่ ส่วนใหญ่ก็จะมีกันตามโรงแรมและร้านอาหารหรือผับดีๆ กันซะมากกว่า ไม่ก็นานๆครั้งในงาน Cocktails Party ที่จะมี Cocktails เสริฟกัน อย่าว่าอะไรเลยผมในฐานะก็เป็น Bartender อยู่ ทำ Cocktails ให้ชาวบ้านเขาดื่มเขาเมากันมาไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว เวลาที่ผมจะพักผ่อนและดื่มกับเพื่อนฝูงผมก็เลือกที่จะดื่มเบียร์ซะเป็นส่วนใหญ่ ทำไมน่ะหรือครับ ไม่ได้บอกว่าไม่ชอบ Cocktails ที่ตัวเองทำอยู่นะครับ เพียงแต่ว่ามันไม่อยากจะต้องมาเตรียมตัว หาของ และก็ต้องมาทำให้ยุ่งยาก วันนี้มีเพื่อนมาบ้านถ้าหลายคนหน่อย ซื้อเบียร์มาลังนึงก็อยู่ได้ตั้งนานแล้ว ใครอยากเมาต่อ มีงหามาเพิ่มก็แล้วกัน
นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหลักที่คนไทยเราไม่ค่อยจะชอบดื่ม Cocktails กันซักเท่าไหร่ มาดูเหตุผลข้อถัดมา ในเรื่องของสถานที่และราคาที่เครื่องดื่มพวกนี้เขาขายกัน ผมว่าถ้าร้านเหล้าแบบที่มี Cocktails ขายนี่น่ะ ส่วนใหญ่ก็ราคาแก้วล่ะน่าจะหลักร้อยบาทขึ้นไปแล้วแหละ [บางคนอาจจะบอกว่ามีซุ้มรถเข็ญที่ทำ Cocktails ขายแก้วล่ะแค่ 49 บาทก็มี] อันนั้นผมก็เคยเห็นเคยเจอมาอยู่เหมือนกันครับ แต่ว่าไม่ได้ลอง ไม่กล้าลอง ผมไม่ใช่คนติดหรูนะครับ แต่ผมถือคติที่ว่าจ่ายอะไร ได้อย่างนั้น ผมก็ทำงานเกี่ยวกับเหล้ามาน่าจะเรียกได้ว่าเยอะพอสมควร และที่บาร์ที่ผมทำอยู่เขาก็มีตัวเลือกให้ลูกค้าเลือกอย่างหลากหลายยี่ห้อ ทั้งของถูกและของแพง ของถูกก็จะเรียกว่า House Brand ที่เป็นเหล้าที่ไม่มียี่ห้อ ซื้อมาแบบถูกๆ โค ตะ ระ ถูกเลยก็ว่าได้ แบบว่าไม่เคยได้ยินยี่ห้อมาก่อนเลย แต่ก็ดื่มแล้วเมาได้กันทุกคนครับผม ใครๆก็คิดว่าเหล้าก็คือเหล้าดื่มเข้าไปแล้วเมาหมด อันนี้ก็ถูกครับ แต่ว่าไม่ถูกต้องเอาเสียทีเดียว เหล้าทุกชนิด และก็ทุกตัวมีความต่างของมันอยู่ในตัวครับ Scotch Whisky ที่เห็นขายในตลาดอยู่เป็น 10 ยี่ห้อ รสชาดมันไม่เหมือนกันซักยี่ห้อนะครับ ต้องลองแล้วจะรู้ความแตกต่างครับ สิ่งเดี่ยวที่มันพอจะเหมือนกันทุกๆตัวก็คือดื่มไปเถอะเมาแน่นอน
กลับเข้าเรื่อง Cocktails ราคาถูกกันต่อดีกว่า ว่าผมทำงานมาตั้งนาน ผมยังไม่เคยดื่มไอ้เครื่องดื่มที่เขาใช้เป็น House Brand เลยครับ ประมาณว่ารับไม่ได้ในรสชาดและความฝืดคอครับผม อันนี้ไม่ได้ติดหรูนะ แต่ในเม่ื่อมันมี Top Brand ให้เลือกดื่มได้อยู่ทุกวี่ทุกวันแล้วเราจะไปดื่มของถูกให้มันฝืดคอทำไมล่ะครับ
มาเข้าเรื่องกันต่อดีกว่าครับวันนี้ขอพูดถึงเรื่องของ Top 5 Spirirs ตัวที่ 4 กัน นั่นก็คือ Tequila ซึ่งเป็นเหล้าของ Mexico

Tequila

Tequila นั้นเป็นเหล้าที่มาจาก Mexico ซึ่งจนกระทั่งในปัจจุบันนี้ก็ยังเป็น Mexico ประเทศเดียวที่ทำเหล้า Tequila ออกมาจำหน่่ายจ่ายแจกได้ทั่วโลก เพราะว่าเขามีกฎระเบียบในการปฎิบัติไว้อย่างชัดเจนว่าการที่จะทำเหล้า ที่เรียกว่า Tequila ได้นั้นจะต้องทำยังงัยบ้าง และที่สำคัญมันต้องมาจากเมืองแค่ไม่กี่เมืองใน Mexico แค่นั้น แค่นี้ใครก็ตามที่อยากจะเข้ามาแย่งทำ Tequila ก็หมดสิทธิ์ตั้งแต่ยังไม่ทันได้คิดเลย หลักการณ์ของกฎหมายข้อนี้ก็คลายๆกับ Champagne ของ ฝรั่งเศษ ที่บอกว่าใครก็ตามที่จะทำ Champagne เหมือนกับข้า เจ้าจะต้องทำขึ้นมาจากแคว้น Champagne เท่านั้น ทำมาจากแคว้นดื่นหรือว่าประเทศอื่นห้ามใช้ชื่อ Champagne โดยเด็ดขาด  ประกาศไว้อย่างนี้ก็หมดสิทธิกันไปอีกตามระเบียบ แต่ว่าก็ยังมีช่องทางให้หลบให้เลี่ยงเหมือนกับกฎหมายบ้านเรานะแหละครับ ฝรั่งเศษดันประกาศกฎหมายฉบับนี้ให้กับบรรดาเพื่อนๆบ้านในเขต ยุโรปแค่นั้น ลืมไปว่ามันมีคนอยู่ทั่วโลกที่สามารถปลูกองุ่นและก็ทำไวน์เป็น 
ฉนั้นใครก็ตามที่อยู่นอกเขต ยุโรป ก็สามารถทำ Champagne แล้วก็ใช้ชื่อเรียกอย่างเป็นทางการว่า Champagne ได้อย่างถูกต้องและชอบธรรม
มาเข้าเรื่อง Tequila กันต่อครับ หลายๆคนก็มักจะคิดว่า Tequila นี่มันทำมาจากต้นกระบองเพรช เพราะว่าในรูปข้างขวดของ Tequila บางยี่ห้อดันโชว์รูปต้นไม้ชนิดนึงซึ่งมีหน้าตาที่ละม้ายคล้ายคลึงกับเจ้ากระบองเพรชเอาเสียจริงๆ ก็ทำให้คนเข้าใจผิดกันมาอยู่่นานแสนนานเลยแหละ Tequila จริงๆแล้วมันทำมาจาก ต้น Agave คือต้นไม่ชนิดนึงลักษณืของหัวมันจะคล้ายๆพืชในตระกูลสัปปะรดครับ แต่ว่าไม่มีเนื้อเหมือนสัปปะรดนะ หมายถึงฟอร์มในการเกิด และบางสายพันธุ์มันก็หมีต้นหรือว่ายอดที่โผล่ขึ้นไปด้านบนจนดูเหมือนต้นกระบองเพรช ต้น Agave นี้มีอยู่อย่างมากมายหลายสายพันธุ์ใน Mexico ว่ากันว่าเป็นพันชนิดเลย แต่ว่ามีอยู่แค่สายพันธุ์เดียวที่สามารถนำมาทำ Tequila ได้ตามทีี่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับ Tequila ช้ันดี นั่นก็คือ Blue Agave  แค่นั้น ถ้านำ Agave สายพันธ์ุอื่นจะมาบอกว่า 100% Agave Tequila ไม่ได้ นั่นก็คือต้องขายเป็นเกรดรองลงไป แล้วต้น Agave นี้ดูเหมือนจะเป็นไม้ล้มลุกเพราะว่าเป็นพืช
เน้ืออ่อน แต่ว่ากว่าจะสามารถนำมาใช้งานได้ ต้องคอยถึง 5-6 ปี เป็นอย่างน้อยถึงจะนำมาใช้งานได้ และถ้าเป็น Tequila ที่ดีในระดับ Premium แล้ว อย่างเช่น Don Julio เขาบอกว่าเขาจะใช้ Agave ที่มีอายุขั้นต่ำ 10 ปีขึ้นไปเท่านั้นในการทำ Tequila ของเขา 
เอาล่ะครับรู้จักกันไปพอคร่าวๆแล้ว ทีนี้ Tequila มันกลายมาเป็นพระเอกประจำบาร์แทบจะทุกบาร์ทั่วโลกไปได้อย่างไร เร่ิมแรกเดิมทีเลย Tequila ถูกออกแบบให้ดื่มแบบยกทีเดียวหมดแก้ว นิยมรินใส่แก้ว Shooter แล้วโรยเกลือที่ฝ่ามือ แล้วก็มีมะนาวอีกชิ้นวางไว้ข้างๆ เริ่มโดยการเลียเกลือที่ฝ่ามือ [ฝ่ามือของตัวเองนะ] แล้วก็กระดกแก้ว Tequila แล้วก็บีบมะนาวตามลงไป ว่ากันว่าได้รสชาดกันมาก อันนี้ยืนยันเคยเจอมาด้วยตัวเองแล้ว วันนั้นวันเกิดเพื่อน หมดไปไม่รู้กี่ขวด สว่างคาตาเลย ดื่มอร่อยมาก และย่ิ่งมาระยะหลังๆนี้คนก็เร่ิมนิยมนำมาทำ Cocktails กันด้วย ยิ่งทำให้เป็นที่นิยมมากขึ้นไปด้วย เช่น Margarita
และ Tequila Sunrise และก็อีกหลายๆอย่าง มาดูหน้าตาของเจ้า Tequila กันบ้างหน่อยดีกว่าครับ มีอยู่ไม่กี่รูป เดี๋ยวจะกลับมาอัพเดทให้ทีหลังครับเอาเฉพาะที่มีอยู่ที่บ้านมาให้ดู
Jose Cuervo Gold  ก็เป็นอีกหน่ึ่งยี่ห้อที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และก็มีรุ่นพี่อย่าง 
1800 Gold Tequila เป็นตัวชูโรงอีกตัว และที่ฉลากข้างขวดก็จะเขียนไว้ชัดเจนว่า 
"Made with Blue Agave"

ตัวนี้ไม่ค่อยเห็นในบาร์เท่าไหร่ เป็นรุ่น Premium Tequila บ้านเราก็มีขายเป็นรุ่น El Toro 

รุ่นนี้ก็เขียนไว้ว่า 100% De Agave ที่เห็นนี่เป็นขวดเล็ก แต่ว่าราคาก็ซื้อขวดใหญ่ธรรมดาได้เมานึงเลย

รุ่นนี้เป็นของท้องถิ่น Mexico ยังไม่ค่อยเห็นตามร้านเหล้าทั่วไป ซื้อมาเก็บไว้ได้หลายปีแล้ว มีใบ Certificate และหมายเลขบรรจุขวดให้เรียบร้อย รับประกันว่าดื่มแล้วเมาแน่นอน 555

ร่องรอยของความเก่า ที่ฝาจุกดีนะที่พลาสติกหุ้มจุกยังอยู่ในสภาพเดิม เพราะว่าไม่ค่อยได้อยู่บ้านด้วย เดี๋ยวข้างในกลายเป็นอย่างอื่นไปซะนี่

ขวดนี้ก็แน่นอนว่าเป็น Premium Tequila อีกตัวครับ มีหมายเลข lot ที่ทำ และก็มีคำการันตีไว้มุมด้านบนว่า Reposado ซึ่งคำนี้เป็นภาษาของเขาแปลว่าหมักบ่มในถังไม้
และก็ถัดมาก็มีข้อความ 100% De Agave  รับประกันว่ามาจากของแท้และแน่นอน 
เอาล่ะครับผม 4 ตัวผ่านไปแล้ว เหลืออีกหนึ่งน้ำเมาก็จะได้เริ่มต้นทำ Cocktails กันอย่างจริงจังเสียที เตรียมตัวเตรียมเครื่องไม้ เครื่องมือไว้ให้เรียบร้อยก็แล้วกันนะครับ แล้วเจอกัน Party หน้าครับ
Drinks Responsibly
จาก คนชงเหล้า

วันศุกร์ที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

การทำ Sweet & Sour


Sweet & Sour
จะมีขายเป็นขวดสำเร็จตาม Food Land หรือตามห้างที่มีเหล้านอกขายจะมีอยู่แต่ว่าถ้าใครยังไม่มีตรงนี้ก็ลองเอาสูตรนี้ไปทำแก้ขัดก่อนก็ได้ให้ใช้น้ำมะนาวประมาณ 1-1/2 Oz + น้ำเชื่อม 1/2 Oz ก็จะได้รสชาดที่ใกล้เคียงกันและได้ความเป็นธรรมชาติมากกว่า Sweet & Sour เสียอีก ยังงัยก็ลองไปทำดูกันนะครับผม สัดส่วนนี้คือการทำเครื่องดื่มแค่แก้วเดียวครับผม ถ้าใครจะทำเป็นเหยือกเลย เวลามีงานเลี้ยงที่บ้านก็เพิ่มปริมาณสัดส่วนเอาครับผม แต่ว่ามารตราส่วนก็คือจะอยู่ประมาณ 1 ต่อ 1 ทั้งนี้และทั้งนั้น ตัวแปรที่สำคัญว่ามันจะออกมารสชาดยังงัยมันก็ต้องขึ้นอยู่กับส่วนผสมที่เรานำมาทำด้วยเช่น น้ำมะนาว มีความเปรียวมากหรือเปรี้วน้อย และน้้ำเชื่อมที่นำมาผสมมีอัตราความหวานมากหรือน้อย คือถ้าทำน้ำเชื่อมมาดี มีความเข้มข้นสูง ส่วนใหญ่แล้วก็จะมีความหวานมาก ส่วนน้ำเชื่อมที่ผสมน้ำมาเยอะแบบว่าใสแจ๋วและก็เทได้เหมือนน้ำ คือว่าไม่มีความหนีดเลยอันนี้ก็จะทำให้มีความหวานน้อยไปด้วย 
สัดส่วนแนะนำในการทำน้ำเชื่อมคือ น้ำตาล 80 % และน้ำแค่ 20 % จะใช้วิธีต้มน้ำร้อนให้เดือดแล้วมาเทใส่น้ำตาลแล้วคนจนน้ำตาลละลายดี หรือว่าจะต้มน้ำกับน้ำตลาลด้วยไฟอ่อนๆ จนน้ำตาลละลายดีก็ได้ ยังงัยก็ลองทำ ลองผสมดูนะครับ หลังจากทำเสร็จ ชิมดูนิดนึงถ้ามันออกหวานๆ เปรี้ยวๆ แล้วก็น่่าจะถือว่าโอเคครับ 

Rum Cocktails

กลับมาอีกแล้วครับ เมื่อวานเราคุยกันเรื่อง Top 5 Spirits ตัวที่ 3 กันไป นั่นก็คือ Rum นั่นเอง วันนี้ก่อนจะไปตัวถัดไป ก็เลยมี Cocktails ที่ใช้ Rum เป็นส่วนประกอบหลักมาฝากกัน และโดยเฉพาะ Flavours Rum ทั้ง 6 ตัวของ Bacardi นั้น ก็มีวิธีการดื่มที่ได้อรรถรสมาฝากกันทั้ง 6 ตัวเลยครับ และจะตบท้ายด้วยพระเอกของเราที่ได้ทิ้งทายไว้ นั่นก็คือ Mojito นั่นเอง มาเร่ิมกันเลยดีกว่าครับ

Bacardi Double O

Bacardi Double O         1 1/2   Oz
Orange Juice                 1 1/2   Oz
Sprite                             4 1/2   Oz
วิธีทำไม่มีอะไรยุ่งยากครับ เท Bacardi Double O ลงในแก้วที่มีน้ำแข็งเตรียมไว้แล้ว ตามด้วย น้ำสม แล้วก็โปะหน้าด้วย Sprite เป็นอันเสร็จ แต่ว่าจะให้ดูดีและอร่อยขึ้น หาส้มซักชิ้นทำเป็นสไลซ์ ใส่ลงไปในแก้วแค่นี่ก็ได้เครื่องดื่มที่แสนจะสดชื่นไว้ดื่มเล่นแล้วครับ

Bacardi Limon

ตัวนี้ง่ายๆครับ เพียงแต่ว่าเรามาเปลี่ยนวิธีดื่มกันหน่อยแค่นั้นเอง ส่วนใหญ่คนจะดืื่ม Rum กับ Coke ,Sprite หรือไม่ก็น้ำผลไม้ วันนี้เรามาลองเปลี่ยนดื่ม Rum กับ Tonic กันครับ
Bacardi Limon              1 1/2    Oz
Float with Tonic
วิธีทำนั้นไม่มีอะไรเลยครับ เตรียมแก้วใส่น้ำแข็งแล้วก็ริน Bacardi Limon ลงไปในแก้ว แล้วก็เติมด้วย Tonic จนได้ระดับ จะให้อร่อยและมีรสชาดมากขึ้นขาดไม่ได้ครับ ตัดมะนาวซักซีกใส่ลงไปในแก้ว แค่นี้เป็นอันจบครับ มันจะออกหวานๆ ซ่อนขมนิดๆจาก Tonic และก็ได้รสและกลิ่นของมะนาวที่ทำให้สดชื่นเป็นอย่างมากครับ อันนี้ก็ต้องลอง

Bacardi Razz

ตัวนี้ก็เหมือนกันครับ ทำแบบง่ายๆ ก็เนื่องจากว่า Rum ตัวนี้มันมีกลิ่นและรสชาดที่เรียกว่าลงตัวอยู่แล้ว ด้วยความหอมของ Raspberry ที่มีมาอยู่แล้ว ไม่ว่าจะใส่กับอะไรมันก็โอ แต่ว่าวันนี้เรามาทำให้ความหอมความหวานตรงนั้นมันออกมามากกว่าเดิมด้วยการเติม Sprite กันดีกว่า
Bacardi Razz           1 1/2    Oz
Float with Sprite 
วิธีการทำนั้นก็ไม่แตกต่างจากตัว Bacardi Limon & Tonic เลยครับ เพียงแต่ว่าผลไม้ที่แนะนำให้ใส่ลงไปในแก้วนั้นถ้าจะให้ได้รสชาดของมันจริงๆ ก็ควรจะเป็น Raspberry ซักลูกสองลูก แต่ก็อย่างที่ว่าแหละครับ บ้านเรานั่นค่อนข้างจะหายาก ใน Foodland มีก็กล่องนิดเดียวเป็นร้อยแล้ว เอาเป็นว่าใช้ส้มสไลซ์ซักชิ้นและก็มะนาวซักซีกใส่ลงไป แค่นี้ก็อร่อยชื่นใจแล้วครับ แก้วนี้เหมาะมากกับผู้หญิงหวานๆ ครับ

Bacardi Big Apple

ตัวนี้จะออกแนวหวานซ่อนเปรียวเหมือนกับแอ็ปเปิ้ลเขียวยังงัยยังงั้นครับ
Bacardi Big Apple         1 1/2     Oz
Sweet & Sour                 4 1/2     Oz   [ดูวิธีทำ]
วิธีการทำนั้นตัวนี้ถ้าอยากให้เครื่องดื่มเข้ากันดีและมีฟองลอยอยู่บนแก้วนิดหน่อย ก็ต้องใช้วิธีการผสมเครื่องดื่มในกระบอก Shaker แล้วก็ทำการเขย่านิดหน่อยพอให้เกิดฟองแล้วก็รินใส่แก้วได้เลย แต่ว่าถ้ายังไม่มี Shaker ก็ใช้วิธีการรินใส่แก้วได้เลยแต่ว่าพอรินเสร็จแล้วก็ใช้ช้อนคนให้เครื่องดื่มเข้ากันอีกนิดนึง แล้วก็ประดับแก้วด้วยแอ็ปเปิลเขียวซักซีกใส่ลงไปในแก้ว หรือจะเสียบไว้ที่ปากแก้ว ก็จะได้ความหอมของกลิ่นแอ็ปเปิ้ลทุกครั้งที่ดื่ม

Bacardi Coco

ตัวนี้ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหอมมันแน่นอน ถ้าใครเคยดื่ม Malibu Coconut Rum แล้ว ก็คงจะเดาทางตัวนี้ไม่ยาก
Bacardi Coco         1 1/2      Oz
Pineapple juice       4 1/2      Oz
วิธีการทำตัวนี้ก็เหมือนกับตัว Bacardi Big Apple จะใช้การเขย่าก็ได้หรือว่าแค่รินใส่แก้วแล้วใช้ช้อนคนนิดหน่อยพอเข้ากัน แต่ว่าผลไม้ที่แนะนำให้ใส่ลงไปในแก้วเพื่อเป็นการเพิ่มอรรถรสในการดื่มนั้น แนะนำให้หาเนื้อมะพร้าวอ่อน ใส่ลงไปพอประมาณ รับรองว่าอร่อยถึงใจ

Bacardi Grand Melon

เอาล่ะมาถึงตัวสุดท้ายของกลุ่มนี้ สีของ Rum อาจจะใสแต่ว่าเขาแอบใส่รสชาดและกลิ่นของผลไม้ไว้ได้อย่างน่าทึ่งก็แล้วกัน 
Bacardi Grand Melon          1 1/2      Oz
Grapefruit Juice                    4 1/2      Oz 
วิธีทำตัวนี้ง่ายแสนง่าย แค่ริน Rum ลงในแก้วแล้วก็ตามด้วยน้ำ Grapefruit แล้วก็หาแตงโมซักชิ้นมาใส่ลงไปในแก้ว แค่นี้ก็ได้เครื่องดื่มแนวหวานซ่อนเปรียวแต่หอมชื่นใจอีกตัวแล้วครับ
เอาล่ะครับ สนใจอยากลองตัวไหนก็ตามสะบายนะครับ แล้วเดี๋ยวมาตามดู Mojito กันในตอนต่อไปครับ จำไว้อย่างนะครับ ว่าห้ามดื่มเวลาขับรถ อันตรายมากครับ ถามว่าทำไมนะหรือครับ ก็ถ้าดื่มเวลาขับรถ เครื่องดื่มของเราอาจจะหกได้นะครับ เสียดาย อย่าเลยดีกว่าไว้จอดแล้วค่อยดื่มจะดีกว่า แล้วเจอกันครับ

Drinks Responsibly

ด้วยความปราถนาดีจาก คนชงเหล้า







Bombay Gin

เอาล่ะวันนี้กลับมาเล่าเรื่องเกี่ยวกับ Gin กันต่ออีกนิดกับพระเอกของเรา Bombay Sapphire Gin ไม่ต้องบอกว่ามันมาจากไหน มันมาจาก London อย่างแน่นอน แต่ว่าเมื่อก่อนหลายๆคนคิดว่ามันมาจาก India เพราะว่าชื่อมันเหมือนกับเมืองๆ หนึ่งของ India แต่เอาเป็นว่ามันมาจาก London และก็ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1761 กันเลยเชียว ตั้ง 252 ปีที่แล้ว [เวลา ณ วันที่เขียนบทความปี 2013] และก็ด้วยการที่่เขาใช้สมุนไพรต่างๆ ตั้ง 10 ชนิดจากทั่วโลก [หลากหลายประเทศ] และก็มารตฐานในการทำที่รักษามารุ่นต่อรุ่น จนทำให้วันนี้ Bombay Sapphire ถือว่าเป็น Gin ในระดับแถวหน้าเลยก็ว่าได้
เอาล่ะครับรู้จักกันไปพอคร่าวๆ แล้วทีนี้มาดูกันต่อว่าไอ้ที่บอกว่าใช้สมุนไพรเครื่องเทศตั้ง 10 ชนิดจากหลายๆที่ทั่วโลกนั้นมันมีอะไรบ้าง มาดูกันครับ
1. Grains Of Paradise นำมาจาก West Afarica

2. Cubeb Berries นำมาจาก Java

3. Cassia Bark นำมาจาก Indo- China

4. Almond นำมาจาก Spain

5. Riquorice นำมาจาก China

6. Juniper Berries นำมาจาก Italy

7. Lemon Pell นำมาจาก Spain

8. Coriander นำมาจาก Morocco

9. Angelica Root นำมาจาก Sarony

10. Orris [Iris Root] นำมาจาก Italy
เป็นอย่างไรกันบ้างครับ ดูความพิถีพิถันของเขาซิครับ ก็สมแล้วที่มันถึงได้มีความหอมที่น่าลิ้มลองเอาเสียจริง ต้องลองครับ